มัสยิดอันวาริซซุนนะห์ (คลองเคล็ด)
มัสยิดอันวาริซซุนนะห์ (คลองเคล็ด)
ทะเบียนเลขที่ | 41 | วันที่จดทะเบียน | 4 สิงหาคม 2492 |
บ้านเลขที่ | 39 | หมู่ที่ | - |
หมู่บ้าน/ชุมชน | - | ซอย | สุภาพงษ์ 1 แยก 9 |
ถนน | ศรีนครินทร์ | แขวง | หนองบอน |
เขต | ประเวศ | จังหวัด | กรุงเทพมหานคร |
รหัสไปรษณีย์ | 10250 | เขตรับผิดชอบ | มัสยิดเขต 2 |
ประวัติความเป็นมาของ มัสยิดอันวาริซซุนนะห์ (คลองเคล็ด)
มัสยิดอันวาริซซุนนะห์ |
||||
|
||||
ที่ตั้ง |
เลขที่ 41 หมู่ 1
ซอยสุภาพงษ์ 1 (แยก 9) ถนนศรีนครินทร์
แขวงหนองบอน เขตประเวศ
กรุงเทพมหานคร 10250 |
|||
เลขหมายทะเบียน |
41 |
|||
วัน/เดือน/ปี
ที่รับจดทะเบียน |
04 สิงหาคม
2492 |
|||
ผู้ขอจดทะเบียน |
1.นายหะยีอิสมาแอล อับดุลลา |
ตำแหน่งอิหม่าม |
||
2.นายหะยีฮำซะห์ อยู่ป็นสุข |
ตำแหน่งคอเต็บ |
|||
3.นายเสงี่ยม ผ่องโสภา |
ตำแหน่งบิหลั่น |
|||
ประวัติความเป็นมา |
ย่านพระโขนง (ฝั่งเหนือ) ตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีชาวมุสลิมเคลื่อนย้ายมาตั้งชุมชนตั้งแต่ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ โดยมีมัสยิดเก่าแก่ คือ มัสยิดอัลกุ๊บรอ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 และต่อมาได้ขยายชุมชนออกไป ลุ่มน้ำเจ้าพระยาประกอบด้วยเส้นทางคลองหลายสาย คลองพระโขนงเป็นทั้งคลองธรรมชาติและคลองขุด เป็นหนึ่งในคลองแตกแขนงจากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกบริเวณโค้งบางกระเจ้าเข้ามา ในช่วงตอนปลายของคลองพระโขนงตอนเหนือก่อนถึงคลองหนองบอนเป็นที่ตั้งของชาวมุสลิมเชื้อสายปัตตานี คนมุสลิมที่นี่เล่าได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ก่อนที่จะมีการขุดคลองพระโขนงใสมัยรัชกาลที่ 3 มีหลักฐานว่าใน พ.ศ.2328 รัชกาลที่ 1 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นทัพหลวงไปตีหัวเมืองปัตตานี หลังจากเสร็จศึกได้นำขุนนางและครอบครัวชาวหัวเมืองปัตตานีกลับมาด้วย โดยรัชกาลที่ 1 ได้โปรดเกล้าฯ ให้มุสลิมกลุ่มนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตพระนครชั้นใน เช่น บ้านตึกดิน บ้านบางลำพู และโปรดเกล้าให้กระจายไปตั้งบ้านเรือนนอกเขตพระนคร เช่น แถบสี่แยกบ้านแขก มหานาค อยุธยา นนทบุรี และฟากตะวันออกของเขตพระนคร เช่น แถบสี่แยกบ้านครัว มหานาค อยุธยา นนทบุรี รวมทั้งพื้นที่ฟากตะวันออกขอวงเขตพระนคร เช่น บริเวณคลองพระโขนงฝั่งเหนือ (เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), 2538: 74) โดยในปัจจุบันคือแขวงสวนหลวง ชุมชนมุสลิมย่านคลองพระโขนง หลังจากสร้างบ้านเรือนก็ได้สร้างสุเหร่า เรียกว่า สุเหร่าใหญ่ โดยต่อมาเรียกชื่อว่า มัสยิดอัลกุ๊บรอ การสร้างบ้านเรือนของคนในชุมชนในระยะต่อมาจึงสร้างกระจายล้อมรอบสุเหร่าใหญ่ กล่าวได้ว่าในช่วงระยะแรกของการตั้งชุมชนมุสลิมย่านคลองพระโขนง ทางการได้กำหนดให้ชาวมุสลิมทำนา ทำการเกษตร โดยแบ่งผลผลิตบางส่วนให้ราชการตามระบบมูลนายไพร่ที่ใช้กันสมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 5 เนื่องจากพระโขนงเป็นพื้นที่ราบลุ่มโดยมีคูคลองจำนวนมาก นิเวศบริเวณนี้จึงเอื้อแก่การทำนาและการเกษตร ด้วยเหตุนี้คนมุสลิมลุ่มน้ำคลองพระโขนงจึงสามารถผลผลิตเป็นหางข้าว ให้กับทางการได้ ในสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราวปี พ.ศ. 2421 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองเชื่อมกับคลองพระโขนงตอนปลายใกล้เคียงกับคลองหนองบอน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชุมชนคลองพระโขนงไปทางตะวันออกเชื่อมกับคลองด่านออกสู่แม่น้ำบางปะกง ส่งผลให้การคมนาคมระหว่างกรุงเทพมหานครกับจังหวัดฉะเชิงเทราสะดวกขึ้น ส่งผลให้การเพาะปลูกและการทำนาเพิ่มขึ้นในบริเวณสองฝั่งคลอง ทำให้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งไทย จีน และคนมุสิลมจากภาคอื่น ๆ อพยพเข้ามาหาพื้นที่ทำกินพร้อมทั้งตั้งถิ่นฐาน คนมุสลิมในชุมชนแห่งนี้รับรู้อดีตด้วยการยึดโยงตัวเองกับการเป็นคนหัวเมืองปัตตานี ลักษณะเฉพาะของชุมชนแห่งนี้คือการที่มีบางคนที่ใช้ภาษามลายูโดยเป็นคนแก่ ในขณะที่คนรุ่นใหม่ไม่สามารถพูดภาษามลายูได้ เมื่อสมัยพระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้ยกทัพไปตีมลายู คือเมืองปัตตานีมาเป็นของไทย ท่านแม่ทัพของกรุงศรีอยุธยาได้สั่งให้กองทัพของกรุงศรีอยุธยากวาดต้อนเชลยศึกของมลายู (ตานี) เข้ามาไว้ในพระนครศรีอยุธยา และบรรดาเชื้อพระวงศ์ของมลายู (ตานี) ที่เป็นทหารถูกนำมากักกันไว้ที่แขวงเมืองพระนครเขื่อนขันธ์ คือ อำเภอประประแดง จังหวัดสมุทรปราการในปัจจุบัน เขตเมืองนครเขื่อนขันธ์ในขณะนั้นรวมถึงพระโขนงและสวนหลวง กทม. ในปัจจุบันด้วย ที่มา : จากหนังสือ ประวัติมุสลิมในกรุงเทพมหานคร ท่านอับบ๊าส ท่านเป็นแม่ทัพของหัวเมืองมลายู (ตานี) แขวงเมืองนครเขื่อนขันธ์ บริเวณบ้านหัวป่า แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร (ในปัจจุบัน) และต่อมา ท่านอับบ๊าสก็ได้รับพระราชทานที่ดินพร้อมด้วยวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างมัสยิดจาก "สมเด็จพระยามหาศรีสุริยวงศ์" (สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) โดยได้รับพระราชทานนามของมัสยิดครั้งแรกว่า "สุเหร่าใหญ่" ซึ่งต่อมาได้มีการบูรณะ ปรับปรุงให้ดีขึ้น เป็นการก่อสร้างแบบก่ออิฐโบกปูนเมื่อมีการก่อสร้างสำเร็จแล้วจึงได้ตั้งชื่อใหม่ว่า "มัสยิดอั้ลกุ๊บรอ" (สุเหร่าใหญ่-ปากคลองเคล็ด) บางท่านเรียกว่ามัสยิดอั้ลกุ๊บรอแห่งอับบาส "สุเหร่าใหญ่ หรือ มัสยิดอั้ลกุ๊บรอ (สุเหร่าใหญ่-ปากคลองเคล็ด) เป็นมัสยิดแห่งแรกในเขตนี้ สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๓๓๒ (ต้นยุครัตนโกสินทร์ในสมัยรัชการ ที่ ๑) โดยท่านอั๊บบาสเป็นผู้ดำเนินการสร้างมัสยิดหลังนี้ ซึ่งท่านอั๊บบาสเป็นบรรพบุรุษ "มุสลิม" คนแรกที่มาจากเมืองปัตตานีและมาตั้งถิ่นฐานในเขตนี้ บรรดาบุตรหลานของท่านและบรรดาผู้ที่เคารพนับถือท่าน เรียกท่านว่า "โต๊ะโง๊ะ" อีหม่ามท่านแรกของมัสยิดแห่งนี้ก็คือ "ท่านอิหม่ามฮัจยีอั๊บบาส" ซึ่งท่านผู้นี้นับเป็นผู้มีคุณูปการแก่บรรดาบุตรหลานและบรรดาพี่น้องมุสลิมในพื้นที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก ต่อมา สัปปุรุษของมัสยิดอั้ลกุ๊บรอมีมากขึ้น และมีการขยายตัวของชุมชนเมืองในเขตกรุงเทพมหานครเป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงได้มีคณะสัปปุรุษของมัสยิดอั้ลกุ๊บรอ ในหลายหมู่บ้านแยกตัวเองออกไปจัดตั้งมัสยิดขึ้นใหม่ ๕ มัสยิด คือ ๑. มัสยิดอัลเอี๊ยะติซอม (สุเหร่าใหม่หัวป่า) ๒. มัสยิดอันวาริซซุนนะฮฺ (คลองเคล็ด) ๓. มัสยิดเราะฮฺมาตุ้ลอิสลาม (สวนหลวง ร.๙) ๔. มัสยิดดารุ้ลอามีน (ศรีนครินทร์) ๕. มัสยิดริยาดุสซอลีฮีน (หมู่บ้านมิตรภาพ) ที่มา : จากบทความ ประวัติมัสยิดอัลกุ๊บรอ มัสยิดอันวาริซซุนนะห์(คลองเคล็ด)(ตรงข้ามซีคอนศรีนครินทร์)ในอดีตนั้นยังมิได้เจริญ อย่างที่เป็นในปัจจุบัน ตอนนั้นมัสยิดอันวาริซซุนนะห์ ยังไม่ถือกำเนิดขึ้น พูดง่ายๆก็คือ ยังไม่ถูกสร้างขึ้น ผู้คนในสมัยนั้น ใครที่อยากจะไปละหมาดที่มัสยิด หรือถ้าเกิดมีความจำเป็นที่จะต้องไปยังมัสยิด เช่น วันศุกร์ วันอีดฯลฯจะต้องเดินทางไปมัสยิดที่หัวป่า คือ มัสยิดอัลเอี๊ยะติซอม หรือที่เรียกกันว่าสุเหร่าใหม่ (อ่อนนุช39 ปัจจุบัน)ซึ่งอยู่ไกลจากคลองเคล็ดพอสมควร เพราะสมัยนั้นยังไม่มีการคมนาคมสะดวกสบายอย่างในปัจจุบัน จึงทำให้เป็นการยากลำบากมากที่จะไปมัสยิด ชาวคลองเคล็ดสมัยนั้น จึงอยากจะมีมัสยิดอยู่ในละแวกใกล้ ๆ บ้าน เพื่อที่จะไม่ต้องลำบากในการเดินทางต่อมาได้มีพี่น้องทั้ง 8 คนในเชื้อสาย โต๊ะปุ้ยได้ร่วมกันคิดและปรึกษากันว่า อยากจะสร้างมัสยิด และชาวคลองเคล็ดเองต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะสร้างมัสยิดที่คลองเคล็ดนี้หลังจากตกลงหาที่หาทางได้แล้ว ก็ได้ช่วยกันสร้างและช่วยกันบริจาคทรัพย์สินเงินทอง ใครมีน้อยก็ให้น้อย ใครมีมากก็ให้มาก จึงทำให้มีมัสยิด มัสยิดหลังแรกสร้างขึ้นเมื่อ พ. ศ. 2482 หรือ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีเนื้อที่ประมาณ 5ไร่ 3งาน โดยเป็นที่ดินของโต๊ะปุ้ย(สายสกุล ผ่องโสภา)กับแชมิง (สายสกุล อยู่เป็นสุข) ได้บริจาค มัสยิดหลังแรก ถูกสร้างขึ้นบริเวณริมคลองปลูกขนานคลอง ขวางตะวัน มีลักษณะเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ผู้คนต่างยินดีปรีดายิ่งนัก ที่มีมัสยิดเกิดขึ้นในคลองเคล็ด คราวนี้จะไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงหัวป่า (อ่อนนุช39ในปัจจุบัน) อีกแล้ว วันเวลาได้ล่วงเลยไปจำนวนผู้คนที่อาศัยในคลองเคล็ดเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้น เช่นนี้จึงทำให้มัสยิดไม่พอรองรับกับจำนวนผู้คนได้ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างมัสยิดหลังใหม่ขึ้นมา ต่อมาไม่นาน มัสยิดหลังที่ 2 ก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงและทรัพย์สินของชาวคลองเคล็ดเช่นเดียวกัน มัสยิดหลังนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2486 ห่างจากมัสยิดหลังแรกเพียง 4 ปีลักษณะของมัสยิดมี 2 ชั้นใต้ถุนสูงโล่งหลังคาทรงปั้นหยา แต่ยังทำการสร้างไม่ได้เสร็จดีก็ต้องมีอันพังลงเสียก่อน เหตุที่พังลง อันเนื่องมาจากได้มีลมพายุพัดมาอย่างรุนแรง จนมัสยิดไม่อาจจะต้านทานแรงลมพายุได้ จึงทำให้มัสยิดพังลงอย่างหน้าเสียดาย และเมื่อมัสยิดพังลงจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างหลังใหม่มาทดแทนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มัสยิดหลังที่ 3 สร้างขึ้นเมื่อ พ. ศ.2487 หากจากหลังแรกไม่กี่ปีมีลักษณะหนึ่งชั้น ใต้ถุนสูงโปร่ง หน้าเสามีความกว้าง และยังได้ใช้มัสยิดเป็นที่สอน อัลกรุอานแก่เด็ก ๆ ด้วย มัสยิดหลังที่ 4 เกิดขึ้น มัสยิดถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2508 มีเนื้อที่ประมาณ 5ไร่เศษ มีลักษณะหนึ่งชั้นก่อสร้างด้วยปูน เคยใช้เป็นที่สอนอัลกรุอ่านแก่เด็กๆในชุมชนคลองเคล็ด มัสยิดหลังที่ 5 นี้คือมัสยิดหลังปัจจุบัน ฮัจยีซำซุดดีน เงาะไพรวัลย์ เป็นผู้บริจาคเงินซื้อเนื้อที่ในการสร้าง มัสยิดหลังนี้สร้างด้วยปูนมีลักษณะสองชั้นครึ่งมีเนื้อที่ 120 ตารางวา ระยะเวลาโดยประมาณตั้งแต่มัสยิดหลังแรกวันเวลาได้ผ่านมาประมาณ 84 ปีแล้วโดยมีอีหม่ามประจำมัสยิดมาทั้งหมด 3 ท่าน คือ 1.อัลมัรฮูม ฮัจยี สมาอิน(อาลี) อับดุลลา 2. อัลมัรฮูม ฮัจยี มาลีกี มณีโชติ 3. อาจารย์ มุสฏอฟา อยู่เป็นสุข อีหม่ามท่านปัจจุบัน สาเหตุส่วนใหญ่ที่ต้องสร้างมัสยิดหลังใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ อันเนื่องมาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี มัสยิดที่มีอยู่จึงไม่พอรองรับ บรรดาผู้คนจากที่นี่และที่อื่น ปัจจุบันนี้ผู้คนหลากหลายแวะเวียนมากขึ้น และศูนย์จิตใจของชาวมุสลิมคงจะเป็นที่ใดไปไม่ได้นอกจากเป็นมัสยิด มัสยิดคือบ้านของอัลลอฮฺ มัสยิดคือที่ที่เราจะได้ใกล้ชิดกับพระองค์ ที่มา : จากบทความ กลับคลองเคล็ด 11 มีนาคม 2566 (ได้แก้ไขเนื้อหาบางส่วน) |
1. นายหะยีอิสมาแอล อับดุลลา |
พ.ศ 2492 |
2. นายสำราญ มณีโชติ |
พ.ศ. เดิม - 2534 |
3. นายประเสริฐ อยู่เป็นสุข |
พ.ศ. 2535 –
ปัจจุบัน |
1. นายหะยีฮำซะห์ อยู่ป็นสุข |
พ.ศ. 2492 |
2. นายประเสริฐ อยู่เป็นสุข |
พ.ศ. 2533 - 2535 |
3. นายจำรัส ผ่องโสภา |
พ.ศ. 2535 – 1 มิถุนายน 2555 |
4. นายอินยาส นาคนาวา |
พ.ศ. 2557 – 2567 |
4. นายกุลธัช นาคนาวา | พ.ศ. 2567 – ปัจจุบัน |
1. นายเสงี่ยม ผ่องโสภา |
พ.ศ. 2492 |
2. นายอิดรีส สุขนาวัน |
พ.ศ. 2526 - 2545 |
3. นายสาโรจน์ มาระกุล |
พ.ศ. 2545 -ปัจจุบัน |
1. นายมานิต สกลวารี | 7. นายประสิทธิ์ จันทร์แก้ว |
2. นายชัยณรงค์ พุดเพ็ง | 8. นายเสนีย์ อยู่เป็นสุข |
3. นายอารีย์ อยู่เป็นสุข | 9. นายสุเทพ ผ่องโสภา |
4. นายสมหวัง เจ๊ะมัด | 10. นายวิทยา พูลศิลป์ |
5. นายอนุชา มาระกุล | 11. นายกุลธัช นาคนาวา |
6. นายสมพงษ์ ผ่องโสภา | 12. นายสิทธิ สะยอวรรณ์ |
1.
นายไฟโรส อยู่เป็นสุข |
7.
นายประสิทธิ์ จันทร์แก้ว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2.
นายพรชัย แอนดะริส |
8.
นายอามีน อยู่เป็นสุข |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3.
นายชาคริต ม่วงคำ |
9.
นายสุเทพ ผ่องโสภา |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4.
นายโชคชัย ธรรมชาติ |
10.
นายเสรี สุขนาวัน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5.
นายเดชา ผ่องโสภา |
11.
นายพิริยะ ช่างปั้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6.
นายอารีย์ อยู่เป็นสุข |
ปัจจุบันมีสัปปุรุษทั้งหมด 281 ครอบครัว
จำนวน 928 คน
ประกอบด้วย
|