วันพุธที่ 17 กันยายน 2568 16:13 น.

มัสยิดอันวาริซซุนนะห์  (คลองเคล็ด)

มัสยิดอันวาริซซุนนะห์  (คลองเคล็ด)

ทะเบียนเลขที่ 41 วันที่จดทะเบียน 4 สิงหาคม 2492
บ้านเลขที่ 39 หมู่ที่ -
หมู่บ้าน/ชุมชน - ซอย สุภาพงษ์ 1 แยก 9
ถนน ศรีนครินทร์ แขวง หนองบอน
เขต ประเวศ จังหวัด กรุงเทพมหานคร
รหัสไปรษณีย์ 10250 เขตรับผิดชอบ มัสยิดเขต 2


     
    - ไม่มีข่าวและกิจกรรม -


ประวัติความเป็นมาของ มัสยิดอันวาริซซุนนะห์  (คลองเคล็ด)


มัสยิดอันวาริซซุนนะห์

 

ที่ตั้ง 

เลขที่ 41 หมู่ 1 ซอยสุภาพงษ์ 1 (แยก 9) ถนนศรีนครินทร์  แขวงหนองบอน  เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร 10250

เลขหมายทะเบียน

41

วัน/เดือน/ปี ที่รับจดทะเบียน

04   สิงหาคม  2492

ผู้ขอจดทะเบียน

1.นายหะยีอิสมาแอล     อับดุลลา

ตำแหน่งอิหม่าม

2.นายหะยีฮำซะห์    อยู่ป็นสุข

ตำแหน่งคอเต็บ

3.นายเสงี่ยม    ผ่องโสภา

ตำแหน่งบิหลั่น

 

ประวัติความเป็นมา

ย่านพระโขนง (ฝั่งเหนือ) ตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีชาวมุสลิมเคลื่อนย้ายมาตั้งชุมชนตั้งแต่ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ โดยมีมัสยิดเก่าแก่ คือ มัสยิดอัลกุ๊บรอ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 และต่อมาได้ขยายชุมชนออกไป ลุ่มน้ำเจ้าพระยาประกอบด้วยเส้นทางคลองหลายสาย คลองพระโขนงเป็นทั้งคลองธรรมชาติและคลองขุด เป็นหนึ่งในคลองแตกแขนงจากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกบริเวณโค้งบางกระเจ้าเข้ามา ในช่วงตอนปลายของคลองพระโขนงตอนเหนือก่อนถึงคลองหนองบอนเป็นที่ตั้งของชาวมุสลิมเชื้อสายปัตตานี

      คนมุสลิมที่นี่เล่าได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ก่อนที่จะมีการขุดคลองพระโขนงใสมัยรัชกาลที่ 3 มีหลักฐานว่าใน พ.ศ.2328 รัชกาลที่ 1 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นทัพหลวงไปตีหัวเมืองปัตตานี หลังจากเสร็จศึกได้นำขุนนางและครอบครัวชาวหัวเมืองปัตตานีกลับมาด้วย โดยรัชกาลที่ 1 ได้โปรดเกล้าฯ ให้มุสลิมกลุ่มนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตพระนครชั้นใน เช่น บ้านตึกดิน บ้านบางลำพู และโปรดเกล้าให้กระจายไปตั้งบ้านเรือนนอกเขตพระนคร เช่น แถบสี่แยกบ้านแขก มหานาค อยุธยา นนทบุรี และฟากตะวันออกของเขตพระนคร เช่น แถบสี่แยกบ้านครัว มหานาค อยุธยา นนทบุรี รวมทั้งพื้นที่ฟากตะวันออกขอวงเขตพระนคร เช่น บริเวณคลองพระโขนงฝั่งเหนือ (เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), 2538: 74) โดยในปัจจุบันคือแขวงสวนหลวง 

        ชุมชนมุสลิมย่านคลองพระโขนง หลังจากสร้างบ้านเรือนก็ได้สร้างสุเหร่า เรียกว่า สุเหร่าใหญ่ โดยต่อมาเรียกชื่อว่า มัสยิดอัลกุ๊บรอ การสร้างบ้านเรือนของคนในชุมชนในระยะต่อมาจึงสร้างกระจายล้อมรอบสุเหร่าใหญ่ กล่าวได้ว่าในช่วงระยะแรกของการตั้งชุมชนมุสลิมย่านคลองพระโขนง ทางการได้กำหนดให้ชาวมุสลิมทำนา ทำการเกษตร โดยแบ่งผลผลิตบางส่วนให้ราชการตามระบบมูลนายไพร่ที่ใช้กันสมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 5 เนื่องจากพระโขนงเป็นพื้นที่ราบลุ่มโดยมีคูคลองจำนวนมาก นิเวศบริเวณนี้จึงเอื้อแก่การทำนาและการเกษตร ด้วยเหตุนี้คนมุสลิมลุ่มน้ำคลองพระโขนงจึงสามารถผลผลิตเป็นหางข้าว  ให้กับทางการได้

      ในสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราวปี พ.ศ. 2421 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองเชื่อมกับคลองพระโขนงตอนปลายใกล้เคียงกับคลองหนองบอน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชุมชนคลองพระโขนงไปทางตะวันออกเชื่อมกับคลองด่านออกสู่แม่น้ำบางปะกง ส่งผลให้การคมนาคมระหว่างกรุงเทพมหานครกับจังหวัดฉะเชิงเทราสะดวกขึ้น ส่งผลให้การเพาะปลูกและการทำนาเพิ่มขึ้นในบริเวณสองฝั่งคลอง ทำให้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งไทย จีน และคนมุสิลมจากภาคอื่น ๆ อพยพเข้ามาหาพื้นที่ทำกินพร้อมทั้งตั้งถิ่นฐาน

          คนมุสลิมในชุมชนแห่งนี้รับรู้อดีตด้วยการยึดโยงตัวเองกับการเป็นคนหัวเมืองปัตตานี ลักษณะเฉพาะของชุมชนแห่งนี้คือการที่มีบางคนที่ใช้ภาษามลายูโดยเป็นคนแก่ ในขณะที่คนรุ่นใหม่ไม่สามารถพูดภาษามลายูได้

   เมื่อสมัยพระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้ยกทัพไปตีมลายู คือเมืองปัตตานีมาเป็นของไทย ท่านแม่ทัพของกรุงศรีอยุธยาได้สั่งให้กองทัพของกรุงศรีอยุธยากวาดต้อนเชลยศึกของมลายู (ตานี) เข้ามาไว้ในพระนครศรีอยุธยา และบรรดาเชื้อพระวงศ์ของมลายู (ตานี) ที่เป็นทหารถูกนำมากักกันไว้ที่แขวงเมืองพระนครเขื่อนขันธ์ คือ อำเภอประประแดง จังหวัดสมุทรปราการในปัจจุบัน เขตเมืองนครเขื่อนขันธ์ในขณะนั้นรวมถึงพระโขนงและสวนหลวง กทม. ในปัจจุบันด้วย 

  ที่มา : จากหนังสือ ประวัติมุสลิมในกรุงเทพมหานคร

    ท่านอับบ๊าส ท่านเป็นแม่ทัพของหัวเมืองมลายู (ตานี) แขวงเมืองนครเขื่อนขันธ์ บริเวณบ้านหัวป่า แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร (ในปัจจุบัน) และต่อมา ท่านอับบ๊าสก็ได้รับพระราชทานที่ดินพร้อมด้วยวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างมัสยิดจาก "สมเด็จพระยามหาศรีสุริยวงศ์" (สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) โดยได้รับพระราชทานนามของมัสยิดครั้งแรกว่า "สุเหร่าใหญ่" ซึ่งต่อมาได้มีการบูรณะ ปรับปรุงให้ดีขึ้น เป็นการก่อสร้างแบบก่ออิฐโบกปูนเมื่อมีการก่อสร้างสำเร็จแล้วจึงได้ตั้งชื่อใหม่ว่า "มัสยิดอั้ลกุ๊บรอ" (สุเหร่าใหญ่-ปากคลองเคล็ด) บางท่านเรียกว่ามัสยิดอั้ลกุ๊บรอแห่งอับบาส

    "สุเหร่าใหญ่ หรือ มัสยิดอั้ลกุ๊บรอ  (สุเหร่าใหญ่-ปากคลองเคล็ด) เป็นมัสยิดแห่งแรกในเขตนี้ สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๓๓๒ (ต้นยุครัตนโกสินทร์ในสมัยรัชการ ที่ ๑) โดยท่านอั๊บบาสเป็นผู้ดำเนินการสร้างมัสยิดหลังนี้ ซึ่งท่านอั๊บบาสเป็นบรรพบุรุษ "มุสลิม" คนแรกที่มาจากเมืองปัตตานีและมาตั้งถิ่นฐานในเขตนี้ บรรดาบุตรหลานของท่านและบรรดาผู้ที่เคารพนับถือท่าน เรียกท่านว่า "โต๊ะโง๊ะ" อีหม่ามท่านแรกของมัสยิดแห่งนี้ก็คือ "ท่านอิหม่ามฮัจยีอั๊บบาส" ซึ่งท่านผู้นี้นับเป็นผู้มีคุณูปการแก่บรรดาบุตรหลานและบรรดาพี่น้องมุสลิมในพื้นที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก  

         ต่อมา สัปปุรุษของมัสยิดอั้ลกุ๊บรอมีมากขึ้น และมีการขยายตัวของชุมชนเมืองในเขตกรุงเทพมหานครเป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงได้มีคณะสัปปุรุษของมัสยิดอั้ลกุ๊บรอ ในหลายหมู่บ้านแยกตัวเองออกไปจัดตั้งมัสยิดขึ้นใหม่  ๕  มัสยิด คือ

          ๑.  มัสยิดอัลเอี๊ยะติซอม (สุเหร่าใหม่หัวป่า)

          ๒.  มัสยิดอันวาริซซุนนะฮฺ (คลองเคล็ด)

          ๓.  มัสยิดเราะฮฺมาตุ้ลอิสลาม (สวนหลวง ร.๙)

          ๔.  มัสยิดดารุ้ลอามีน (ศรีนครินทร์)

          ๕.  มัสยิดริยาดุสซอลีฮีน (หมู่บ้านมิตรภาพ)

ที่มา : จากบทความ ประวัติมัสยิดอัลกุ๊บรอ

        มัสยิดอันวาริซซุนนะห์(คลองเคล็ด)(ตรงข้ามซีคอนศรีนครินทร์)ในอดีตนั้นยังมิได้เจริญ อย่างที่เป็นในปัจจุบัน ตอนนั้นมัสยิดอันวาริซซุนนะห์ ยังไม่ถือกำเนิดขึ้น พูดง่ายๆก็คือ ยังไม่ถูกสร้างขึ้น ผู้คนในสมัยนั้น ใครที่อยากจะไปละหมาดที่มัสยิด หรือถ้าเกิดมีความจำเป็นที่จะต้องไปยังมัสยิด เช่น วันศุกร์ วันอีดฯลฯจะต้องเดินทางไปมัสยิดที่หัวป่า คือ มัสยิดอัลเอี๊ยะติซอม หรือที่เรียกกันว่าสุเหร่าใหม่ (อ่อนนุช39 ปัจจุบัน)ซึ่งอยู่ไกลจากคลองเคล็ดพอสมควร เพราะสมัยนั้นยังไม่มีการคมนาคมสะดวกสบายอย่างในปัจจุบัน จึงทำให้เป็นการยากลำบากมากที่จะไปมัสยิด ชาวคลองเคล็ดสมัยนั้น จึงอยากจะมีมัสยิดอยู่ในละแวกใกล้ ๆ บ้าน เพื่อที่จะไม่ต้องลำบากในการเดินทางต่อมาได้มีพี่น้องทั้ง 8 คนในเชื้อสาย โต๊ะปุ้ยได้ร่วมกันคิดและปรึกษากันว่า อยากจะสร้างมัสยิด และชาวคลองเคล็ดเองต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะสร้างมัสยิดที่คลองเคล็ดนี้หลังจากตกลงหาที่หาทางได้แล้ว ก็ได้ช่วยกันสร้างและช่วยกันบริจาคทรัพย์สินเงินทอง ใครมีน้อยก็ให้น้อย ใครมีมากก็ให้มาก จึงทำให้มีมัสยิด มัสยิดหลังแรกสร้างขึ้นเมื่อ พ. ศ. 2482 หรือ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีเนื้อที่ประมาณ 5ไร่ 3งาน โดยเป็นที่ดินของโต๊ะปุ้ย(สายสกุล ผ่องโสภา)กับแชมิง (สายสกุล อยู่เป็นสุข) ได้บริจาค 

มัสยิดหลังแรก ถูกสร้างขึ้นบริเวณริมคลองปลูกขนานคลอง ขวางตะวัน มีลักษณะเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ผู้คนต่างยินดีปรีดายิ่งนัก ที่มีมัสยิดเกิดขึ้นในคลองเคล็ด คราวนี้จะไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงหัวป่า (อ่อนนุช39ในปัจจุบัน) อีกแล้ว วันเวลาได้ล่วงเลยไปจำนวนผู้คนที่อาศัยในคลองเคล็ดเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้น เช่นนี้จึงทำให้มัสยิดไม่พอรองรับกับจำนวนผู้คนได้ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างมัสยิดหลังใหม่ขึ้นมา 

   ต่อมาไม่นาน มัสยิดหลังที่ 2 ก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงและทรัพย์สินของชาวคลองเคล็ดเช่นเดียวกัน มัสยิดหลังนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2486 ห่างจากมัสยิดหลังแรกเพียง 4 ปีลักษณะของมัสยิดมี 2 ชั้นใต้ถุนสูงโล่งหลังคาทรงปั้นหยา แต่ยังทำการสร้างไม่ได้เสร็จดีก็ต้องมีอันพังลงเสียก่อน เหตุที่พังลง อันเนื่องมาจากได้มีลมพายุพัดมาอย่างรุนแรง จนมัสยิดไม่อาจจะต้านทานแรงลมพายุได้ จึงทำให้มัสยิดพังลงอย่างหน้าเสียดาย และเมื่อมัสยิดพังลงจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างหลังใหม่มาทดแทนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

                มัสยิดหลังที่ 3 สร้างขึ้นเมื่อ พ. ศ.2487 หากจากหลังแรกไม่กี่ปีมีลักษณะหนึ่งชั้น ใต้ถุนสูงโปร่ง หน้าเสามีความกว้าง และยังได้ใช้มัสยิดเป็นที่สอน อัลกรุอานแก่เด็ก ๆ ด้วย

                มัสยิดหลังที่ 4 เกิดขึ้น มัสยิดถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2508 มีเนื้อที่ประมาณ 5ไร่เศษ มีลักษณะหนึ่งชั้นก่อสร้างด้วยปูน เคยใช้เป็นที่สอนอัลกรุอ่านแก่เด็กๆในชุมชนคลองเคล็ด

             มัสยิดหลังที่ 5 นี้คือมัสยิดหลังปัจจุบัน ฮัจยีซำซุดดีน เงาะไพรวัลย์ เป็นผู้บริจาคเงินซื้อเนื้อที่ในการสร้าง มัสยิดหลังนี้สร้างด้วยปูนมีลักษณะสองชั้นครึ่งมีเนื้อที่ 120 ตารางวา ระยะเวลาโดยประมาณตั้งแต่มัสยิดหลังแรกวันเวลาได้ผ่านมาประมาณ 84 ปีแล้วโดยมีอีหม่ามประจำมัสยิดมาทั้งหมด 3 ท่าน คือ

1.อัลมัรฮูม ฮัจยี สมาอิน(อาลี) อับดุลลา 

2. อัลมัรฮูม ฮัจยี มาลีกี มณีโชติ 

3. อาจารย์ มุสฏอฟา อยู่เป็นสุข    อีหม่ามท่านปัจจุบัน

            สาเหตุส่วนใหญ่ที่ต้องสร้างมัสยิดหลังใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ อันเนื่องมาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี มัสยิดที่มีอยู่จึงไม่พอรองรับ บรรดาผู้คนจากที่นี่และที่อื่น ปัจจุบันนี้ผู้คนหลากหลายแวะเวียนมากขึ้น และศูนย์จิตใจของชาวมุสลิมคงจะเป็นที่ใดไปไม่ได้นอกจากเป็นมัสยิด มัสยิดคือบ้านของอัลลอฮฺ มัสยิดคือที่ที่เราจะได้ใกล้ชิดกับพระองค์

         ที่มา : จากบทความ กลับคลองเคล็ด   11 มีนาคม 2566 (ได้แก้ไขเนื้อหาบางส่วน)

ผู้บริหารมัสยิดอดีต-ปัจจุบัน
ตำแหน่งอิหม่าม

1. นายหะยีอิสมาแอล     อับดุลลา

พ.ศ     2492

2. นายสำราญ            มณีโชติ

พ.ศ.     เดิม - 2534

3. นายประเสริฐ       อยู่เป็นสุข

พ.ศ.     2535 –  ปัจจุบัน


ตำแหน่งคอเต็บ

1. นายหะยีฮำซะห์    อยู่ป็นสุข

พ.ศ.      2492

2. นายประเสริฐ       อยู่เป็นสุข

พ.ศ.      2533 - 2535

3. นายจำรัส            ผ่องโสภา

พ.ศ.      2535 – 1 มิถุนายน 2555

4. นายอินยาส        นาคนาวา

พ.ศ.      2557 – 2567

4. นายกุลธัช        นาคนาวา

พ.ศ.      2567 – ปัจจุบัน


ตำแหน่งบิหลั่น

1. นายเสงี่ยม    ผ่องโสภา

พ.ศ.      2492

2. นาอิดรีส     สุขนาวัน

พ.ศ.      2526 - 2545

3. นายสาโรจน์    มาระกุล

พ.ศ.     2545 -ปัจจุบัน


ตำแหน่งกรรมการ พ.ศ.2565

1. นายมานิต สกลวารี

7. นายประสิทธิ์  จันทร์แก้ว

2. นายชัยณรงค์ พุดเพ็ง

8. นายเสนีย์ อยู่เป็นสุข

3. นายอารีย์ อยู่เป็นสุข

9. นายสุเทพ  ผ่องโสภา

4. นายสมหวัง เจ๊ะมัด

10. นายวิทยา พูลศิลป์

5. นายอนุชา มาระกุล

11. นายกุลธัช นาคนาวา

6. นายสมพงษ์ ผ่องโสภา


12. นายสิทธิ สะยอวรรณ์

ตำแหน่งกรรมการ พ.ศ.2559

1. นายไฟโรส  อยู่เป็นสุข

7. นายประสิทธิ์  จันทร์แก้ว

2. นายพรชัย  แอนดะริส

8. นายอามีน  อยู่เป็นสุข

3. นายชาคริต  ม่วงคำ

9. นายสุเทพ  ผ่องโสภา

4. นายโชคชัย  ธรรมชาติ

10. นายเสรี  สุขนาวัน

5. นายเดชา  ผ่องโสภา

11. นายพิริยะ  ช่างปั้น

6. นายอารีย์  อยู่เป็นสุข




 
- ไม่มีข้อมูลคณะกรรมการมัสยิด -


ข้อมูลสัปปุรุษประจำ มัสยิดอันวาริซซุนนะห์  (คลองเคล็ด)


ปัจจุบันมีสัปปุรุษทั้งหมด 281 ครอบครัว  จำนวน 928 คน  ประกอบด้วย

  
สัปปุรุษทั้งหมดทุกช่วงอายุ
 - เพศชาย 443 คน
 - เพศหญิง 485 คน
 - รวม 928 คน
  
สัปปุรุษอายุต่ำกว่า 15 ปี
 - เพศชาย 68 คน
 - เพศหญิง 67 คน
 - รวม 135 คน
  
สัปปุรุษอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป
 - เพศชาย 375 คน
 - เพศหญิง 418 คน
 - รวม 793 คน
  
สัปปุรุษอายุตั้งแต่ 15 - 59 ปี
 - เพศชาย 289 คน
 - เพศหญิง 313 คน
 - รวม 602 คน
  
สัปปุรุษอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
 - เพศชาย 86 คน
 - เพศหญิง 105 คน
 - รวม 191 คน

ข้อมูลติดต่อ มัสยิดอันวาริซซุนนะห์  (คลองเคล็ด)


โทรศัพท์ 02-330-8586
โทรสาร -
มือถือ 085-099-8666
อีเมล -
เว็บไซต์ https://web.facebook.com/profile.php?id=100064935570444
Facebook https://web.facebook.com/profile.php?id=100064935570444
Twitter -
Youtube -

รูปภาพ มัสยิดอันวาริซซุนนะห์  (คลองเคล็ด)

แผนที่ มัสยิดอันวาริซซุนนะห์  (คลองเคล็ด)

Scroll To Top