มัสยิดเซฟี (ตึกขาว)
มัสยิดเซฟี (ตึกขาว)
ทะเบียนเลขที่ | ธ.9 | วันที่จดทะเบียน | 8 กันยายน 2493 |
บ้านเลขที่ | 647/1 | หมู่ที่ | - |
หมู่บ้าน/ชุมชน | - | ซอย | ช่างนาค |
ถนน | สมเด็จเจ้าพระยา5 | แขวง | สมเด็จเจ้าพระยา |
เขต | คลองสาน | จังหวัด | กรุงเทพมหานคร |
รหัสไปรษณีย์ | 10600 | เขตรับผิดชอบ | มัสยิดเขต 6 |
ประวัติความเป็นมาของ มัสยิดเซฟี (ตึกขาว)
|
||||
ที่ตั้ง |
เลขที่ 647/1
ซอยช่างนาค
แขวงสมเด็จเจ้าพระยา
เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร 10600 |
|||
เลขหมายทะเบียน |
ธ.9 |
|||
วัน/เดือน/ปี
ที่รับจดทะเบียน |
8 กันยายน
2493 |
|||
ผู้ขอจดทะเบียน |
1.นายฟัดรูดิน อหะซันอาลี |
ตำแหน่งอิหม่าม |
||
2.นายมูฮามัดอารี ฮะซัน |
ตำแหน่งคอเต็บ |
|||
3.นายหะยีอาลี ไบนรไบ |
ตำแหน่งบิหลั่น |
|||
ประวัติความเป็นมา |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ปีที่สร้าง
พ.ศ. 2453 ในปีพ.ศ. 2398
ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่
4 ราชอาณาจักรสยามได้ทำสนธิสัญญากับสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นอีก 1 ฉบับ เรียกกันโดยทั่วไปว่า “สนธิสัญญาบาวริง” โดยมีเซอร์จอห์น
เบาว์ริงราชทูต ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียเข้ามาทำสนธิสัญญาซึ่งมีสาระสำคัญคือ
การเปิดการค้าเสรีกับต่างประเทศในสยาม
มีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศโดยการสร้างระบบการนำเข้าและส่งออกใหม่เพิ่มเติม
จากสนธิสัญญาเบอร์นี สนธิสัญญาฉบับก่อนหน้าซึ่งได้รับการลงนามระหว่างสยามและสหราชอาณาจักรใน
พ.ศ. 2369 สมัย รัชกาลที่ 3 หลังจากนั้น
ได้มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในสยามมากขึ้น
รวมทั้งกลุ่มชาวอินเดียเป็นจำนวนมากที่เดินทางเข้ามาในฐานะกลุ่มพ่อค้าโดยดำเนินการค้าอยู่ในย่านราชวงศ์และทรงวาด
และมีนิคมของตนเองอยู่ทางฝั่งตรงข้ามแถบท่าดินแดงและคลองสานซึ่งคนอินเดียเหล่านี้ส่วนใหญ่เข้ามาในฐานะ
“Supject หรือ คนในบังคับ”
หรือที่คุ้นเคยของคนสยามในนามพวก “สัพเย็ก”
โดยส่วนหนึ่งของกลุ่มพ่อค้าชาวอินเดียที่เดินทางเข้ามาในสยามในเวลานั้น
เป็นกลุ่มคนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่รัฐกุจราต ประเทศอินเดีย นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์
โดยเรียกพวกตนเองว่า “มุอ์มิน ดาวูดีโบห์รา” นิยมทำการค้าผ้าแพรพรรณ
ดิ้นเงินดิ้นทอง เพชรพลอย ตลอดจนเครื่องเทศ สมุนไพร เครื่องหอม และน้ำอบ เป็นต้น
มักตั้งร้านค้าบริเวนถนนเจริญกรุง พาหุรัด ตลาดมิ่งเมือง
และแถบวัดเกาะหรือวัดสัมพันธวงศ์ ต่อมากลุ่มคนเหล่านี้โดยการนำของกากายี
ซายาอุดดิน โมฮัมหมัดอาลี ร่วมกับมุลลาฮะซัน อาลี ยีวาใบ
และนายห้างวาสีได้ติดต่อขอซื้อที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาจากเจ้าพระยารัตนบดินทร์
(รอด) เมื่อได้ที่ดินแล้วจึงเริ่มสร้างมัสยิดของพวกตนขึ้น
และสามารถเปิดใช้ทำศาสนกิจเมื่อปี พ.ศ. 2453 มัสยิดที่สร้างขึ้นมีชื่อเรียกว่า “มัสยิดเซฟี” มัสยิดเซฟีมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบกอธิค
ลักษณะคล้ายกล่องสี่เหลี่ยม
โครงสร้างอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ตั้งอยู่บนฐานรากแผ่ที่ทำจากไม้ซุง
ภายในอาคารไม่มีเสากลาง ชั้นล่างปูกระเบื้อง มีห้องกิบละต์ หรือ ประชุมทิศ
สำหรับผู้นำนมาซ และบนเพดานห้องประดับโคมไฟรูปถ้วยอักขระกูฟี อันเป็นลักษณะเฉพาะของนิกายดาวูดีโบห์ราที่นี่ไม่มีมิมบัรหรือแท่นธรรมาสน์
แต่มีตะฆัรสำหรับให้อิหม่ามนั่งเทศน์ ส่วนชั้นบนเป็นชั้นสำหรับสตรีทำนมาซ
โดยมีระเบียงวนโดยรอบ ประดับกระจกสีและลายฉลุไม้สวยงาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มัสยิดเซฟีได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
สามารถรักษาองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
และคุณค่าทางประวัติศาสตร์เอาไว้ได้เป็นอย่างดี
รวมทั้งยังคงบทบาทสำคัญในการเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของชาวมุอ์มิน ดาวูดีโบห์รา
ปัจจุบันมีสัปปุรุษทั้งหมด 135 ครอบครัว
จำนวน 452 คน
ประกอบด้วย
|