กุฎีหลวง
หรือกุฎีเจ้าเซ็น : “กะดี” แรกของมุสลิมนิกายชีอะห์ในกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยรัตนโกสินทร์ราวปี พ.ศ. 2328 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) โปรดเกล้าฯ ให้ขุนป้องพลขันธ์(ก้อนแก้ว)ขุนนางในกรุงธนบุรีที่สืบเชื้อสายแต่ออกญาบวรราชนายก(เฉกอหะหมัด) ชาวเปอร์เซียจากกรุงเก่าให้กลับเข้ารับราชการในตำแหน่ง พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) พร้อมพระราชทานที่ดินให้ตั้งชุมชนและสร้างศาสนสถานของตนขึ้นเป็นครั้งแรกแล้ว พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) ได้จัดการเกี่ยวกับแบบแผนพิธีกรรมในศาสนาขึ้นอีกครั้งในเวลานั้น ชุมชนแขกเจ้าเซ็น หรือมุสลิมนิกายชีอะห์ เริ่มสร้างศาสนสถานของตนเป็นการถาวรขึ้นทางฝั่ง ตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) โดย พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) ได้รับพระราชทานที่ดิน ตั้งอยู่ทางฝั่งธนบุรีในระยะแรกเริ่มของกรุงรัตนโกสินทร์ (หลังปี พ.ศ. 2325) และเป็นเวลาที่พระองค์ทรงเริ่มปฏิรูปบ้านเมืองอีกครั้งหลังจากกรุงธนบุรีสิ้นสุดลง โดยนำแบบแผนการปกครองของราชสำนักอยุธยากลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง
การนั้นมีผลให้ข้าราชการขุนนางเดิมครั้งกรุงศรีอยุธยาส่วนหนึ่งมีโอกาสกลับเข้ารับใช้งานราชสำนักอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงพระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) ที่เคยรับราชการตั้งแต่ครั้งกรุงเก่าและสืบเนื่องงานต่อมาในกรุงธนบุรี ได้รับความไว้วางพระทัยให้เข้ารับราชการต่อมาในฝ่ายงานพระคลัง ตำแหน่งจุฬาราชมนตรี คุมการค้าฝ่ายกรมท่าขวา อันหมายถึงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีคนแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ด้วย และเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้ชุมชน “แขกเจ้าเซ็น” หรือมุสลิมนิกายชีอะห์มีความเป็นปึกแผ่นมากขึ้นเป็นลำดับนับแต่ได้รับพระราชทานที่ดินให้สร้างศาสนสถานของตนในนาม กุฎีเจ้าเซ็น เป็นต้นมา
กุฎีเจ้าเซ็น
ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือวัดอรุณฯ บริเวณปากคลองมอญแห่งนี้
ถูกเรียกขานกันในหลายชื่อ เช่น กุฎีหลวง กุฎีปากคลองมอญ กุฎีเจ้าเซ็น และกุฎีบน
หรือบางครั้งยังเรียกอย่างคุ้นเคยว่า “บ้านบน” ก็มี
กุฎีหลวง
เป็นการเรียกตามที่ศาสนสถานดังกล่าวสร้างบนที่ดินที่ได้รับพระราชทานจาก
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1)
ส่วนที่เรียกว่า กุฎีปากคลองมอญ ถูกเรียกจากทำเลที่ตั้งที่อยู่บริเวณปากคลองมอญ
โดยหันหน้าประชิดติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสำคัญ และเรียกว่า กุฎีบน หรือบ้านบน
ที่บอกถึงที่ตั้งของกุฎีที่อยู่ตำแหน่งเหนือกุฎีแห่งอื่นที่สร้างต่อมาภายหลัง
อย่างไรก็ตาม กุฎีแห่งแรกที่เกิดขึ้นใหม่หลังปี พ.ศ. 2328 เป็นรากฐานสำคัญของการตั้งชุมชนของมุสลิมนิกายชีอะห์
หรือ “แขกเจ้าเซ็น” ในเวลานั้น และสืบต่อมาอีกกว่า 150 ปี จนหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. 2475 และในปี พ.ศ. 2486
จากการที่รัฐบาลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ได้เวนคืนที่ดินของชุมชนแขกเจ้าเซ็นที่กุฎีหลวง โดยย้ายชุมชนไปยังที่ดินที่ทางราชการจัดสรรชดเชยให้
อยู่บนแนวถนนพรานนก (ปัจจุบันอยู่ในแขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย)
อยู่อาศัยสืบมาจนถึงปัจจุบัน
โดยชุมชนได้ปฎิสังขรณ์ศาสนสถานหลังใหม่ขึ้นทดแทนหลังเดิม ทั้งยังคงรักษารากเหง้าทางประวัติศาสตร์
รวมถึงเอกลักษณ์ในความเป็นมุสลิมนิกายชีอะห์
ที่ดำรงอยู่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนานสืบไป
พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) ในสมัยรัชกาลที่ 1
พระยาจุฬาราชมนตรี (เถื่อน) ในสมัยรัชกาลที่ 2-3
พระยาจุฬาราชมนตรี (นาม) ในสมัยรัชกาลที่ 3-4
พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน) ในสมัยรัชกาลที่ 5
พระยาจุฬาราชมนตรี (สัน อหะหมัดจุฬา) ในสมัยรัชกาลที่ 6
พระจุฬาราชมนตรี (เกษม อหะหมัดจุฬา) ในสมัยรัชกาลที่ 5-6
พระจุฬาราชมนตรี (สอน อหะหมัดจุฬา) ในสมัยรัชกาลที่ 7
ฮัจญีกระแส จุฬารัตน์
บุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (สัน) ในสมัยรัชกาลที่ 9
นายสถาพร สุขสำราญ ในสมัยรัชกาลที่ 9
เชคมุฮัมหมัด อาลี สุขสำราญ (นายเสถียรภาพ สุขสำราญ) ดำรงตำแหน่งอิหม่ามในสมัยปัจจุบัน